พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์



ประชุมชั้นวิริยะญาณ  ณ พุทธสถานจวี้เสียน (เมธาชุมนุม)
อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2553
พระโอวาทมหาเทพฮั่นจงหลีเมตตา

ฟังธรรมเข้าใจหรือไม่เข้าใจ (เข้าใจค่ะ/ครับ) ธรรมดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) ศาสนาดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) อนุตตรธรรมดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) แล้วการทำความดี ดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) การดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่ค่ะ/ครับ) แล้ววันนี้ปราชญ์เมธีในห้องนี้เข้าใจสัจธรรมในชีวิตบ้างหรือไร เข้าใจว่าอนุตตรธรรมคืออะไร ศาสนาคืออะไรแล้วหรือยัง  หากวันนี้ปราชญ์เมธี ณ ห้องนี้ยังไม่เข้าใจว่าศาสนาคืออะไร   อนุตตรธรรมคืออะไร  อนุตตรธรรมสอนอะไรกับเรา หากปราชญ์เมธีนั้นไม่เข้าใจ  กลับไปบ้านแล้ว  เราสามารถนำหลักสัจธรรมอะไรไปบอกกล่าว ไปเผยแพร่ให้คนรุ่นต่อไป เราใช้อะไรกัน วันนี้ปราชญ์เมธีในห้องนี้ตั้งใจฟังธรรมมากแค่ไหน บุคลากรและนักเรียนที่มีป้าย ตั้งใจฟังสัจธรรมกันมากแค่ไหน  หากวันนี้เราไม่รู้ว่าอนุตตรธรรมมาจากไหน หากวันนี้เราไม่รู้ว่าศาสนาสอนอะไรกับเรา เราก็ไม่สามารถนำหลักคำสอน  ไปเผยแพร่กับรุ่นต่อไป ใช่หรือไม่ใช่  (ใช่ค่ะ/ครับ)
            พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสรู้ก่อนด้วยตัวของท่านเองใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) ก่อนที่จะนำหลักคำสอน  คัมภีร์ต่างๆ มากมายไปสอนให้กับรุ่นต่อๆ ไป  ท่านจะต้องตรัสรู้ด้วยตัวของท่านเองก่อน ใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) แล้ววันนี้ปราชญ์เมธีในห้องนี้  รู้แล้วหรือยังว่าศาสนาคืออะไร  อนุตตรธรรมคืออะไร  รู้กันแล้วหรือยัง  ตั้งใจสดับธรรมกันมากแค่ไหน สัจธรรมของชีวิตนั้นมีไม่มาก  อนุตตรธรรมคือสิ่งที่อยู่ในกายเรา ศาสนาคือสิ่งที่เรานั้นได้ดำรงอยู่ทุกๆวันใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) หากเปรียบอนุตตรธรรมคือจิต ศาสนาคือกายสังขาร  อนุตตรธรรมกับจิตญาณควบคู่กันอยู่ด้วยกันใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) หากมีแต่ศาสนาแต่ไร้ซึ่งอนุตตรธรรมได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้ค่ะ/ครับ) แล้วหากมีอนุตตรธรรมแต่ไม่มีศาสนาได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้ค่ะ/ครับ) แล้วหากวันนี้มีกายสังขารแต่ไร้ซึ่งจิตญาณ ได้ไม่ได้  แล้วถ้าหากวันนี้มีจิตญาณแต่ไร้กายสังขาร สิ่งเหล่านี้ต้องควบคู่กันแล้วเดินไปด้วยกัน ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ควบคู่กันโดยตลอด  เพราะฉะนั้นอนุตตรธรรมกับศาสนา จะต้องอยู่ด้วยกัน จะต้องอำนวยความสะดวก  จะต้องปฏิบัติและควบคู่กันไปตลอด ใช่ไม่ใช่  ศาสนาคือหลักคำสอน สอนอะไรศาสนาสอนอะไรกับเรา  สอนอะไร สอนให้เป็นคนดี สอนให้กระทำดี สอนให้คิดดี สอนให้พูดดี สอนให้มนุษย์มีคุณธรรม สอนให้มนุษย์มีความกตัญญู ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ศาสนาได้กล่อมเกลาอยู่ในพระคัมภีร์ต่างๆ มากมาย  ศาสนาได้กล่อมเกลา สอนเรามากมาย  แล้วสิ่งเหล่านี้ปราชญ์เมธี ณ ที่นี้  ได้นำหลักคำสอนของศาสนาที่ปราชญ์เมธีได้นับถือ มาปฏิบัติกันบ้างหรือเปล่า มาปฏิบัติทุกๆ ชั่วโมง มาปฏิบัติทุกๆ นาที ที่เราหายใจเข้า - ออกกันหรือเปล่า หลักคำสอนของแต่ละศาสนาเป็นสิ่งที่ดีแล้ววันนี้เรายึดแต่ศาสนา แต่วันนี้เราไม่ได้ยึดในคำสอน เราไม่ได้นำหลักคำสอนมาปฏิบัติ ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) วันนี้เราปราชญ์เมธีทุกๆ คนไม่ได้ยึดในหลักคำสอนไม่ได้ยึดในคัมภีร์ เพียงแค่อ่าน เพียงแค่เข้าใจ เพียงแค่ท่องออกมา  เพียงแค่กล่าวด้วยวาจา  แต่ไม่เคยนำมาปฏิบัติเลย ใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) เมื่อไม่นำมาปฏิบัติแล้ว หลักคำสอนที่มีอยู่ในคัมภีร์ ก็ไม่ก่อเกิดมรรคผล ใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) แล้วสิ่งเหล่านี้จะก่อเกิดผลหรือเปล่า (ไม่ก่อเกิดค่ะ/ครับ) ไม่ก่อเกิดในเมื่อวันนี้มนุษย์ไม่กระทำความดี ในเมื่อวันนี้มนุษย์ไม่ปฏิบัติ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักความเป็นมนุษย์นั้นจะต้องดำรงอย่างไร ไม่รู้ว่าการดำรงความเป็นมนุษย์อยู่อย่างมีคุณค่านั้น ดำรงอย่างไร วันนี้มนุษย์ไม่รู้ มนุษย์รู้ว่าพระพุทธองค์ศึกษาสัจธรรมนี้ดี  มนุษย์รู้ว่าพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้นิพพาน ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) มนุษย์รู้วันนี้อนุตตรธรรมกับศาสนาต้องควบคู่กันไป   จะต้องปฏิบัติด้วยกัน วันนี้บุคลากรได้มาล้างสมอง  วันนี้บุคลากรและคนที่นำพาเรามาไม่ได้มาบอกให้เรานั้นเปลี่ยนแนวทาง  เปลี่ยนการปฏิบัติเปลี่ยนการเป็นอยู่   แต่วันนี้บุคลากรและคนที่นำพาปราชญ์เมธีมา ณ ที่นี้  อยากบอกให้ปราชญ์เมธีได้รู้ว่า  วันนี้เราจะใช้ชีวิตอย่างไร เราจะปฏิบัติอย่างไร  เราจะดำรงชีวิตอย่างไร   ที่ให้อยู่ในครรลองครองธรรมจะปฏิบัติอย่างไร  จะเป็นคนดีอย่างไร    ซึ่งสิ่งเหล่านี้เดิมทีไม่ต้องสอนแล้วใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ)   สิ่งเหล่านี้อยู่กับเรามาตั้งแต่เรามาอยู่บนโลกใบนี้  สิ่งเหล่านี้อยู่ควบคู่กับเราตั้งแต่เราได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้แล้ว    สิ่งเหล่านี้อยู่กับเรามาตลอด   อนุตตรธรรมก็อยู่กับเรามาตลอด   วันนี้ได้ถามตัวเองว่าวันนี้เรามีอนุตตรธรรมและมีหลักคำสอนกับตัวเองอย่างไร   วันนี้ปราชญ์เมธีทุกคนได้ปลูกฝังอะไรให้กับตนเอง     วันนี้ปราชญ์เมธีทุกคนได้สอนอะไรให้กับจิตญาณและกายสังขารเรา  วันนี้เราทำอย่างไร    วันนี้เราปลูกฝังอะไรให้กับรุ่นต่อไป    วันนี้เราปลูกฝังคุณงามความดีหรือเปล่า  วันนี้เราปลูกฝังความดีให้กับจิตญาณให้อาหารอะไรกับจิตญาณดวงนี้ของเรา  ให้ปราชญ์เมธีนั้นตอบตัวเอง    ไปทำบุญ  ไปตักบาตรทุกๆวันพระ   ทุกๆเช้า เพียงพอแล้วหรือยัง    วันนี้กระทำความดีมากแค่ไหน   วันนี้เรามีอนุตตรธรรมในตัวเองหรือเปล่า   มีหลักคำสอนและศาสนาที่ดีๆที่เราได้นับถือที่เราได้กราบไหว้ทุกวันมีหรือเปล่า   วันนี้มีหรือเปล่า  สิ่งที่เราได้เคารพ สิ่งที่เราได้นับถือ  ยังเคียงคู่กับเราเหมือนเดิมหรือเปล่า  หรือว่าวันนี้ปราชญ์เมธีทุกคนได้ละเลยสิ่งต่างๆเหล่านี้ไป
            มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง  ต้นไม้หนึ่งต้นประกอบด้วยอะไรบ้าง  (ราก ลำต้น  กิ่ง  ก้าน ใบ ค่ะ/ครับ) ต้นไม้ประกอบด้วยรากและก็ลำต้นแล้วก็ผลใช่หรือใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ)     วันนี้อนุตตรธรรมคืออะไร  (รากค่ะ/ครับ) แล้วกิ่งก้านสาขาคืออะไร   (ศาสนาค่ะ/ครับ)  แล้วผลคืออะไร (สิ่งที่เราปฏิบัติเป็นบุญกุศลออกมาค่ะ/ครับ) รากคืออนุตตรธรรม      กิ่งก้านคือศาสนา แล้ววันนี้ผลก็คืออะไร (ผลก็คือคุณงามความดีครับ) ที่เราปฏิบัติออกมาเป็นบุญกุศล การที่เราจะเลี้ยงดูและบ่มเพาะต้นไม้ต้นหนึ่ง  ถามว่ายากหรือไม่ยาก  (ยากค่ะ/ครับ)  คิดว่ายากหรือไม่ยาก    จะให้ต้นไม้ต้นหนึ่งดูสวยงามงอกงามเป็นอย่างดี     อุดมสมบูรณ์ยากไม่ยาก   (ยากค่ะ/ครับ)          จะให้ผลไม้ต้นนั้นหวานหอมอร่อยยากไม่ยาก  แล้วสิ่งเหล่านั้นจะต้องเลี้ยงดูด้วยอะไร  ต้นไม้หนึ่งต้นต้องเลี้ยงดูด้วยอะไรบ้าง  น้ำ ปุ๋ย แสงแดด อากาศ ความใส่ใจ ดิน  ความวิริยะ อุตสาหะ  แล้วสิ่งต่างๆอีกมากมายใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ)   สิ่งเหล่านี้จะต้องควบคู่กันไป  แล้วทำอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลายใช่หรือไม่ (ใช่ค่ะ/ครับ)     สิ่งเหล่านี้ปราชญ์เมธีจะต้องทำเสมอต้นเสมอปลาย  วันนี้อารมณ์ดีอยากรดน้ำต้นไม้ก็รด  แต่วันนี้อารมณ์ไม่ดีไม่อยากรดน้ำแล้วไม่อยากใส่ปุ๋ย ได้ไม่ได้ (ไม่ได้ค่ะ/ครับ)  สิ่งเหล่านี้จะต้องทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย      เช่นเดียวกันวันนี้ปราชญ์เมธีศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม   ตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์   วันนี้ปราชญ์เมธีนับถือศาสนาใดนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ  แต่วันนี้สิ่งสำคัญที่สุด  วันนี้เรารู้คุณค่าของชีวิตแล้วหรือยัง  วันนี้เป็นคน เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้วหรือยัง วันนี้ปราชญ์เมธีให้อาหารอะไรกับจิตญาณของเรา วันนี้ให้อาหารอะไรกับกายสังขารของเรา   วันนี้ได้ปลูกฝังอะไรกับจิตญาณ ใส่อะไรไปในจิตญาณของเรา  หากเราได้ใส่สิ่งที่ดีเราก็จะปฏิบัติแล้วสอนรุ่นต่อไปในสิ่งที่ดี   แต่ถ้าหากว่าวันนี้ปราชญ์เมธีใส่ในสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปในจิตญาณของเรา หล่อหลอมให้จิตญาณตัวนี้มืดมน    หล่อหลอมให้จิตญาณดวงนี้มีแต่กิเลส    หล่อหลอมให้จิตญาณดวงนี้มีแต่ตัณหามีแต่อวิชชา  จิตญาณดวงนี้ก็จะนำและก็ปฏิบัติให้กับรุ่นต่อไป ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก  เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้ชาย   จะมีการศึกษาสูงหรือไม่สูง สิ่งเหล่านี้เราสามารถปลูกฝัง เราสามารถใส่ธรรมะ  เราสามารถใส่สิ่งที่ดีให้กับจิตญาณของเราใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ)  
            บุคลากรร้องเพลงขึ้นบทแต่ละครั้งให้เรานั้นมีความเชื่อมั่น   มีความศรัทธา  มีความตั้งใจให้มากกว่านี้  บุคลากรมีเยอะหรือไม่เยอะ  (เยอะค่ะ/ครับ)    บุคลากรเยอะแต่วันนี้บุคลากรไร้ซึ่งเรี่ยวแรง   ไร้ซึ่งการพักผ่อน ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) ไร้ซึ่งความพร้อม บุคลากรเยอะ เสียงจะต้องมีพลัง เพื่อปลุกพลังให้กับบรรยากาศธรรมในห้องนี้ได้หรือไม่ได้ (ได้ค่ะ/ครับ)  คนนำร้องเพลงก็เช่นเดียวกัน  ออกมาจะต้องมีความเชื่อมั่นต่อธรรม   ออกมาจะต้องมีความตั้งใจ  ออกมาเวลาเปล่งเสียงจะต้องมีความมั่นใจ    ตอนนี้ปราชญ์เมธีทุกคนอยู่ ณ สถานที่นี้เป็นศิษย์ของท่านจี้กง ทุกคนบอกว่าธรรมะนี้ดี  อนุตตรธรรมดี หลักคำสอนนั้นดี ปฏิบัติแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเราได้    เพราะฉะนั้น วันนี้ปราชญ์เมธีก็จะต้องเข้าใจ  หากปราชญ์เมธีไม่ตั้งใจ  จบจากสามวันนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) เสียเวลารึเปล่า (เสียเวลาค่ะ/ครับ)  สิ่งเหล่านี้เสียเวลาและเปล่าประโยชน์ที่เกิดมา วันนี้จะต้องตั้งใจ  เราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ไปได้เต็มที่เต็มร้อย เราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ แต่ละเมล็ดไปได้อย่างเต็มเปี่ยมแล้วก็สมบูรณ์   กาลเวลาก็ล่วงเลยมาแสนนาน  เรามิขอรบกวนเวลา   เรา      ต้าเซียนอยากให้ปราชญ์เมธีทุกคน  ตั้งใจสดับธรรมกันให้มากกว่านี้  อย่าหันซ้าย อย่าหันขวา อย่าให้ใจดวงนี้ลอยไปตามลม  อย่าให้ใจดวงนี้ลอยไปตามเรื่องราว   อย่าให้จิตญาณดวงนี้คิดสิ่งต่างๆ มากมายแล้วไม่สามารถที่จะเข้าใจในสัจธรรม ในสามวันนี้  หากมิเข้าใจแล้วก็จะพลาดโอกาสได้  สิ่งเหล่านี้โอกาสเหล่านี้  ไม่ได้เดินเข้ามาหาเราบ่อยๆ  แต่สิ่งเหล่านี้วันนี้ปราชญ์เมธีได้พบเจอแล้ว  อยากให้ปราชญ์เมธีทุกคนถนอมรักษาโอกาสกันให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ได้ (ได้ค่ะ/ครับ)  เรานั้นไม่ขอรบกวนเวลา                 







                                                                                                                       
















ประชุมชั้นวิริยะญาณ  ณ พุทธสถานจวี้เสียน (เมธาชุมนุม)
อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2553
       
ปลุกพลังในตนให้ก่อเกิด                   
พร้อมร่วมเปิดประตูใจแห่งธรรมา
                                    นำทั้งกายและใจมาศึกษา                   
เพื่อนำพาสู่หนทางนิพพานเอย

                                           เราคือ

สงฆ์จี้กงวิปลาส                                              รับคำบัญชา  จาก
องค์อนุตตรธรรมมารดา                                              สู่แดนโลกาอันวุ่นวาย แฝงกายคารวะ
องค์มารดาผู้เมตตา                                                      ถามศิษย์ข้า นำใจมาสู่สถานที่แห่งนี้แล้วหรือไม่     

มีโอกาสศิษย์ข้าต้องถนอม                 
พร้อมยินยอมกายและใจสู่สถาน
                                    นำพลังแห่งธรรมาร่วมขับขาน                       
ก้องกังวานสะเทือนทั่วแดนหล้า
                                    งานปกโปรดสามภพภาระใหญ่          
จะมีใครเข้าใจประจักษ์แจ้ง
                                    หลักธรรมายิ่งใหญ่พลังแฝง               
ร่วมแสดงศักยภาพตนออกมา
                                    จำต้องใช้จิตแห่งฟ้ามาศึกษา              
เพื่อค้นหาจิตญาณเดิมประจักษ์ได้
                                    ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกังขาไข            
สำคัญยิ่งเปิดใจศิษย์รักเอย

                                     กราบลา

องค์ชคัทธาดาผู้เมตตา                                                 ขอศิษย์ข้าสร้างพลังแห่งตนให้ก่อเกิด
สู่แดนเดิม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา


นั่งให้เรียบร้อย ไม่มีบุคลากรคนไหนกระตือรือร้นเลย ไม่มีเลย พิธีกรเรียกก็เรียกไป ผู้นำร้องเพลง ร้องก็ร้องไป นักเรียนยังร้องเพลงธรรมไม่ค่อยเข้าใจ ยังร้องเพลงธรรมไม่ค่อยเป็น สำคัญบุคลากรเท่านั้นที่จะพยุงชั้นนี้ให้มีบรรยากาศธรรมที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งได้ เราต้องการที่จะมาโปรดเวไนยให้ขึ้นฝั่งธรรม เราไม่ใช่มาฉุดกระชากลากดึงบุคลากรให้รู้หน้าที่ แต่เราจำต้องรู้ตัวเอง เรามาเป็นแบบอย่างเพื่อที่จะโปรดเวไนย ปกโปรดงานสามภพ โปรดผู้ลุ่มหลงให้รู้ตื่น ไม่ใช่อยู่เฉื่อยชา เชื่องช้า..ในวันนี้นักเรียนกระตือรือร้นอย่างดี แต่เราบุคลากรกลับต้องทำให้พิธีกรต้องหนักใจ ในห้องพร้อมเพรียงเรียบร้อย แต่ข้างนอกเก้าอี้ยังว่างอีกเยอะ นี่เป็นเพราะอะไร เพราะนักเรียนหรือบุคลากร เราได้ร่วมมือร่วมใจกันมากแค่ไหน เรามาจากต่างที่ เรานั่งรถกันเมื่อยก้น ปวดหลัง เรามาอบรมธรรม สัจธรรมที่เราได้รับไปคุ้มค่ามากแค่ไหน เราได้นำไปเปลี่ยนแปลงตัวเองมากแค่ไหน
เพราะฉะนั้น เราจำต้องมีความกระตือรือร้น ไม่ใช่ให้พิธีกรมาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก ว่าทุกคนต้องเข้ามาๆ เราคือผู้ที่สร้างพลังธรรม ไม่ใช่มาลากพลังธรรมให้มันเฉื่อยชา น่าอายมั้ย...นักเรียนมาในห้องพร้อมเรียบร้อย แต่บุคลากรยังเดินเฉื่อยอยู่ นี่คืออะไร เราจะมาเป็นแบบอย่าง หรือเราจะมาทำอะไรกัน เสียสละต้องเสียสละให้คุ้มค่า เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะนักเรียนหรือบุคลากร เมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราต้องนำใจมาให้เต็มร้อย เราต้องนำกายมาให้เต็มร้อย กายกับใจเราต้องควบคู่กัน..
แล้วรู้จักหรือยังว่าเราคือใคร รู้จักหรือยัง (พระอาจารย์จี้กงค่ะ/ครับ) อาจารย์ให้โอกาสอีกครั้ง ร้องเพลงหนึ่งรอบ (ทุกคนร่วมกันร้อง “เพลงจากวันที่รับธรรม”)
พร้อมหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ) พร้อมที่จะกลับบ้านหรือว่าพร้อมที่จะอะไร ร้องเพลงธรรมหนึ่งรอบ สร้างพลังธรรมอันยิ่งใหญ่สะเทือนสามภพภูมิ (ทุกคนร่วมกันร้อง“เพลงจากวันที่รับธรรม”)
เราพร้อมมั้ย (พร้อมค่ะ/ครับ) พร้อมที่จะให้ปัญญาในตัวเราก่อเกิดมั้ย (พร้อมค่ะ/ครับ) กายกับใจเรามาด้วยกันมั้ย (มาค่ะ/ครับ) มีศิษย์รักคนไหนนำมาแค่กาย แล้วมีศิษย์รักคนไหนนำมาแค่ใจ...
พร้อมมั้ย (พร้อมค่ะ/ครับ) พร้อมที่จะให้ปัญญาของเราก่อเกิดมั้ย (พร้อมค่ะ/ครับ) หากเราพร้อมที่จะให้ปัญญาก่อเกิด เราต้องพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้กับจิตที่มืดมนของตัวเองก่อน หากศิษย์พร้อมที่จะเปิดโอกาสให้กับจิตที่มืดมน ศิษย์ก็สามารถที่จะพบเจอหนทางที่สว่างได้ เพราะอะไร สองอย่าง (กายและจิต) หากเป็นเส้นขนานกันมันก็ยากที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านมา เรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรก็ตาม หากเราสามารถที่จะปล่อยวางได้ พร้อมทั้งศิษย์รักได้นำกายและใจมาสู่สถานที่แห่งนี้ เรื่องราว ปัญหาของเราก็จะสามารถคลี่คลายได้ด้วยรสพระธรรม แต่หากศิษย์รักยังไม่ปล่อยวางเรื่องราวปัญหาที่ศิษย์พบเจอมา แล้วศิษย์รักรับฟังสัจธรรมไปก็ไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้เพราะอะไร เพราะศิษย์รักของอาจารย์ยังไม่ได้ปล่อยวางเรื่องราวเลย สำคัญยิ่งเรื่องราวและปัญหาที่ศิษย์รักพบเจอ ศิษย์จำต้องปล่อยวางให้หมด ปล่อยวางเพื่ออะไร เพื่อที่จะให้สัจธรรมอันยิ่งใหญ่นี้มาคลี่คลายปัญหา เมื่อเราคลี่คลายปัญหาที่อยู่ในจิตใจของเรา ปมต่างๆ ก็จะสามารถคลี่คลายลงไปได้ เมื่อนั้นแล้วปัญญาของเราก็จะก่อเกิด ศิษย์รักทุกคนล้วนแล้วแต่มีปัญญา แต่ปัญญาของเรานั้นกลับถูกอวิชชามาบดบัง มาวันนี้เราจึงจำต้องศึกษาและมารับฟังสัจธรรม เพื่อที่จะให้ปัญญาในตัวเราได้ก่อเกิด เพื่อที่จะให้เรานั้นได้รู้แจ้งและสามารถที่จะหายามาคลี่คลายปัญหาของเราดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) เราจะต้องรู้ที่จะปล่อยวางเรื่องราว  เพื่อที่จะให้สัจธรรมนี้มาคลี่คลายปัญหาและเรื่องราว  หากศิษย์รักยังไม่ปล่อยวาง      สัจธรรมที่ศิษย์ได้ฟังไปแม้นจะมากมายแค่ไหน  ก็ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาของเราได้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ  (เข้าใจค่ะ/ครับ) 
บุคลากรนั่งให้เรียบร้อย  ห้ามเดินเพ่นพ่านเข้าใจมั้ย (เข้าใจค่ะ/ครับ) ต้องนั่งให้เรียบร้อย  องค์รักษ์ยืนให้สง่างาม  กายกับใจต้องสอดคล้องกัน  เช่นเดียวกันในห้องประชุมและนอกห้องให้สอดคล้องกัน บุคลากรจำต้องสอดคล้องกับนักเรียนใหม่ ไม่ใช่นักเรียนใหม่สอดคล้องกับบุคลากร
มาวันนี้เราต้องการโปรดผู้ลุ่มหลงให้รู้ตื่น เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เข้าใจหรือไม่เข้าใจ (เข้าใจค่ะ/ครับ) เป็นแบบอย่าง เราคือบุคลากรฟ้า เราไม่ใช่บุคลากรในสำนักงาน บุคลากรนั้นยิ่งใหญ่เป็นตัวแทนของฟ้า   ประกาศหลักสัจธรรมให้มวลเวไนยที่ลุ่มหลงได้รู้ตื่น ไขปัญญาอันลุ่มหลงของเวไนยให้เป็นปัญญาที่สว่างและกระจ่างได้  เพราะฉะนั้นเราจะมาช่วยให้สัจธรรมนี้  มาร่วมกันคลายปมมลทินปัญหาของเวไนยที่ยังมืดมนอยู่  เพราะฉะนั้นศิษย์จำต้องปล่อยวางทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ปัญหาและเรื่องราวในใจของเรานั้นคลี่คลายด้วยรสพระธรรม   แม้นเราจะรับฟังหลักธรรมไปมากมาย  แต่หากเรายังไม่ปล่อยวางเรื่องราวของเรา  หลักธรรมมากมายที่เราฟังไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ 
เมื่อยแล้วต้องเมื่อยอย่างมีคุณค่า ง่วงแล้ว  ฝืนนอนได้มั้ย  (ได้ค่ะ/ครับ)  เราฝืนที่จะไม่นอน  เราต้องได้รับฟังหลักสัจธรรมที่ล้ำค่า   และซึมซับเข้าไปในจิตจริงๆ  เราเสียสละเวลาของเราซึ่งเป็นวันพักผ่อน  เราก็ต้องได้คุณค่า เพื่อที่จะรับสัจธรรมอันยิ่งใหญ่นี้มาไขปัญหาของเรา  มาคลี่คลายเรื่องราวในชีวิตของเรา  มาแปรผันจิตที่มืดมน  ให้เป็นปัญญาอันยิ่งใหญ่ดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) กายใจต้องมาเป็นหนึ่ง  ปล่อยวางเรื่องราวให้ได้  เมื่อนั้นแล้วปัญญาของเราก็จะก่อเกิด  ปัญหามากมายที่เราได้พบเจอ  เรื่องราวมากมายที่เราได้พบเจอ  ก็มาคลี่คลายได้ด้วยรสพระธรรม  ขอเพียงเราสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว  จำไว้ให้แม่นนั่นคือ เราจำต้องปล่อยวาง   สัจธรรมก็จะสามารถซึมซับเข้าไปได้  เข้าใจหรือไม่เข้าใจ  (เข้าใจค่ะ/ครับ)    บุคลากรพร้อมที่จะเป็นแบบอย่างแล้วหรือยัง  (พร้อมแล้วค่ะ/ครับ)  พร้อมก็ต้องพร้อมอย่างมีคุณค่า  คุณค่าอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ยิ่งศึกษาสัจธรรมยิ่งต้องรู้แจ้งในรสพระธรรม    ยิ่งศึกษาสัจธรรมยิ่งต้องตื่นแจ้งจากความทุกข์ต่างๆ นาๆ
เพราะฉะนั้นเราต้องมีคุณค่าอย่างล้ำค่า ไม่ใช่มีคุณค่าอย่างไร้ค่า เสียสละเวลามาก็ต้องให้ล้ำค่า ทำงานฟ้า เป็นทหารของฟ้า เป็นแบบอย่าง เราจำต้องสอดคล้องกับนักเรียนใหม่ เพื่อที่จะโปรดคนให้รู้ตื่น ไม่ใช่โปรดผู้รู้ตื่นให้ลุ่มหลง เพราะฉะนั้นเราหนึ่งคนรู้ตื่นสามารถโปรดเวไนยอีกเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านๆ คนให้รู้ตื่นด้วย ขอเพียงเราเป็นบุคลากรฟ้าที่เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ขอเพียงเราสำรวม สำรวจตัวเองอยู่เสมอ เมื่อนั้นแล้วคุณค่าที่เราได้เสียสละมาก็จะก่อเกิด หากเราเสียสละมาแล้วไร้คุณค่า เราก็จะไม่สามารถก่อเกิดเป็นปัญญาได้ ปัญญาจะก่อเกิดก็ต่อเมื่อเราเจอเรื่องราว แล้วเราสามารถแปรผันเรื่องราวเหล่านั้นได้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ (เข้าใจค่ะ/ครับ) มีคุณค่าให้กับตัวเอง และต้องเสียสละให้คุ้มค่า
พร้อมที่จะฟังธรรมบทต่อไปแล้วหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ) ปล่อยวางเพื่อที่จะให้หลักสัจธรรมอันยิ่งใหญ่นี้มาคลี่คลายปัญหาและเรื่องราวของเราดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) พลังธรรมในตัวเราก่อเกิดแล้วหรือยัง (ก่อเกิดค่ะ/ครับ) แม้ศิษย์จะมีพลังธรรมในตัวก่อเกิดเพียงน้อยนิด อาจารย์ก็ถือว่าก่อเกิดแล้ว ทุกสิ่งอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ)
แล้วบุคลากรศิษย์รักข้าล่ะ พลังธรรมก่อเกิดแล้วหรือยัง (ก่อเกิดค่ะ/ครับ) พร้อมที่จะกระตือรือร้นกับงานโปรดสามภพ ภายในสามวันนี้แล้วหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ) พร้อมที่จะเป็นแบบอย่างให้กับผู้ลุ่มหลงได้รู้ตื่นแล้วหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ) พร้อมที่จะสร้างพลังธรรมในตัวเราให้ก่อเกิดแล้วหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ) พร้อมแล้วหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ) เสียสละอย่างมีคุณค่ามั้ย (มีค่ะ/ครับ) ทำจิตใจให้สงบและมีสมาธิ พลังธรรมของเราจะก่อเกิดแน่นอน ร้องเพลงหนึ่งรอบเพื่อให้ก่อเกิดพลังธรรม (ทุกคนร่วมกันร้องเพลงธรรมที่คอยชี้ทาง) อย่าลืมสร้างพลังธรรมแห่งตนให้ก่อเกิด เพื่อที่จะคลี่คลายปัญหาและเรื่องราวต่างๆ    













 
ประชุมชั้นวิริยะญาณ  ณ พุทธสถานจวี้เสียน (เมธาชุมนุม)
อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พุทธศักราช 2553

หนึ่งชีวีเกิดมาล้วนมีกรรม                               กรรมน้อมนำสู่วิถีตนน้อมรับ
      กรรมของใครกรรมของมันยากสลับ                     จำต้องรับกฎกรรมนั้นเพราะตนก่อ
      หากไร้ซึ่งสติกรรมยากตัด                                     ยากสลัดวิบากกรรมไปได้หนอ
      ยามอับจนหนทางกราบวอนขอ                             เทพเจ้าขาขอให้ลูกพ้นเภทภัย
    เราคือ
แปดเซียนหันเซียงจื่อพร้อมด้วยหันเสี่ยวเซียนถง        น้อมรับพระราชเสาวนีย์ จาก  
องค์มารดา                                                                               สู่แดนโลกาอันวุ่นวาย  แฝงกายคารวะ
องค์มารดาเจ้า                                                                          ถามเมธีเข้าใจในตนมากน้อยเพียงไร

                        เกิดเป็นคนจำต้องทุกข์เพราะกฎกรรม                        ทุกข์ยากล้ำยังไม่คลายปมในใจ
      ใช้ชีวิตอย่างเศร้าตรมพาวุ่นวาย                             ยังมิหายป่วยจิตเดินผิดทาง
      ยังสับสนกับชีวิตมิรู้ตัว                                         มิเคยกลัวการกระทำมารนำทาง
      ทั้งเจ้ากรรมนายเวรคอยขัดขวาง                           ยังมิห่างจากกฎกรรมสร้างเรื่อยไป
      ผูกพันธะอาสวะ 1 ตนค้นหา                                   ล้วนนำพามาก่อกรรมสร้างอนุสัย 2
      จะมีใครใคร่ครวญรู้ไตร่ตรองได้                           หลักธรรมไขทางสว่างต้องศึกษา
      เพื่อคลายปมในใจของจิตตน                                 ต้องฝึกฝนหมั่นสร้างคุณากร 3 นา
      ท้ายสุดแล้วสิ่งหนึ่งเดียวคือบุญญา                                    จะนำพาให้ตนนั้นพ้นทุกข์ได้
      มิห่างสาม 4 ทานสามทาง 5 จำต้องสร้าง                 หากยามใดตนห่างพาเวียนว่าย
      เร่งปลูกฝังรากบุญต้นธรรมไซร้                            เปิดทางให้โอกาสตนได้บำเพ็ญ
      ต้องชนะใจตนนี้ต้องฝ่าฟัน                                    แล้วหันหน้าแปรผันใจมาบำเพ็ญ
      ทางลำบากกิลมะ 6 ทุกข์ยากเข็ญ                            นั้นล้วนเป็นบันไดฐานแห่งฟ้า
      ขอเตือนเหล่าปราชญ์เมธี ณ ที่นี้                            สิ่งดีดีเร่งเร็วไวพร้อมศึกษา
      กาลคับขันวิบากกรรมคอยนำพา                           อย่าค้นหาทางนอกลู่กันอีกเลย
      ธรรมล้ำค่าธรรมยิ่งใหญ่ธรรมสูงส่ง                      ธรรมจำนงคอยชี้ทางหลุดพ้นได้
      รับดวงแก้วอันศักดิ์สิทธิ์วิเศษใส                           กลับบ้านไปแดนนิพพานบ้านเดิมเอย                                                              กราบลา
องค์มารดาผู้เมตตา                                                                  สู่นิพพานแดนเดิม

 
อธิบายความหมายคำศัพท์
1. อาสวะ                               =          ขุ่นมัว, กิเลส
2. อนุสัย                                 =          กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน
3. คุณากร                   =    บ่อเกิดแห่งความดี
4. มิห่างสาม                          =     1) มิห่างสถานธรรม
                                                            2) มิห่างนักธรรมอาวุโส
                                                            3) มิห่างพระธรรมคัมภีร์ พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์
5. ทานสามทาง                     =     1) ทรัพย์เป็นทาน
                                                            2) แรงกายเป็นทาน
                                                            3) วิทยาธรรมเป็นทาน
6. กิลมะ                                 =     ทางลำบาก
























พระโอวาทหันเซียงจื่อต้าเซียนและหันเสี่ยวเซียนถงเมตตา

หันเสี่ยวเซียนถง: เมื่อสักครู่ฟังบทลบล้างไปศิษย์น้องทุกๆ คนเข้าใจมากแค่ไหน  เราฟังบทลบล้างไปเกี่ยวกับตัวเราหรือเปล่า  (เกี่ยวกับตัวเราค่ะ/ครับ)  เกี่ยวกับตัวเรา เกี่ยวกับครอบครัวเราหรือเปล่า  (เกี่ยวค่ะ/ครับ)  แล้วศิษย์น้องฟังบทลบล้างไปเรารู้สึกขำๆ รู้สึกเหมือนล้อเล่น  รู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ  รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ  บทลบล้างหนี้เวรกรรมนั้นเกี่ยวกับชีวิตเราทั้งหมดใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) ใช่... วันนี้เรามีวิบากกรรมมากมาย วิบากกรรมนั้นก่อเกิดจากใคร  ก่อเกิดจากเรา  ก่อเกิดจากครอบครัว  วันนี้เรามีครอบครัว ครอบครัวหนึ่งจะเป็นห้าคน สิบคน ล้วนก่อเกิดจากบุญสัมพันธ์ และกรรมสัมพันธ์ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดขึ้นแล้วจากบุญสัมพันธ์ และกรรมสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันมา  ตั้งแต่อดีตชาติ  จนถึงปัจจุบันชาติใช่หรือเปล่า (ใช่ค่ะ/ครับ) เราเกิดมาแตกต่างกัน ชะตาชีวิตแตกต่างกัน บุญกุศลแตกต่างกัน กรรมแตกต่างกัน เราลองสังเกตุดูว่าเพราะอะไรบางคนเกิดมามีตาแค่ข้างเดียว จมูกแหว่ง ปากแหว่ง หูไม่ได้ยิน  พูดไม่ได้  มือไม่มี  มือมีข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งไม่มี  บางคนมีแต่หัวกับลำตัวครึ่งเดียว อีกครึ่งตัวหายไป ใช่ไม่ใช่บางคนมีแค่ครึ่งเดียว แต่บางคนก็มีครบสามสิบสองประการใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากอะไร (กรรมค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากกรรม  กำและก็แบใช่ไม่ใช่... ไม่ใช่ท่ากำแล้วก็แบ  สิ่งนี้คือมือใช่มั้ย การกำแล้วก็แบไม่มีผู้ตอบสนอง เราไม่ต้องชดใช้ใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) สิ่งที่เราต้องชดใช้ล่ะคืออะไร สิ่งที่เราจะต้องชดใช้คือกรรม กรรมพูดไปแล้วน่ากลัวไม่น่ากลัว (น่ากลัวค่ะ/ครับ)  กรรมน่ากลัวคือสิ่งที่เขาจองเวรเรา  คือสิ่งที่เราต้องชดใช้เขา  แล้วสิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากใคร (ตัวเองค่ะ/ครับ) จากตัวเราเอง แล้วทำไมเราที่เป็นมนุษย์จึงทำสิ่งที่ไม่ดีมากมายทุกวันๆ  เพราะอะไร...
วันนี้เราบอกว่าเรามีกรรม วันนี้เราบอกว่าเรามีความทุกข์ วันนี้เราบอกว่าเราเหนื่อย ทำไมมนุษย์จึงยังทำสิ่งที่ไม่ดีทุกวันๆ  หือ.. (พิธีกร:  เพราะว่าเราไม่ตื่นแจ้งจากกิเลสของตัวเองค่ะ) เพราะว่าเราไม่ตื่นจากที่นอน หรือว่าไม่ตื่นจากกิเลสของตัวเอง   (ไม่ตื่นจากกิเลสของตัวเองค่ะ/ครับ) มนุษย์ไม่ตื่นจากกิเลสของตัวเอง แล้วถ้ามนุษย์ไม่ได้บำเพ็ญธรรม ไม่ได้มารับธรรม  มนุษย์จะรู้ได้มั้ย (ได้ค่ะ/ครับ) (อาจารย์ถ่ายทอดธรรม:  ได้ แต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้แจ้งได้ทั้งหมด  รู้ว่าอะไรเป็นบาป  รู้ว่าอะไรเป็นความจริง แต่มนุษย์ใจไม่เข้มแข็งพอค่ะ) ใช่มั้ย เวลาเราด่าคนอื่นตั้งเยอะ  โดนคนๆ หนึ่งด่าเรารู้สึกเสียใจมั้ย เราอยากด่าตอบมั้ย (อยากด่าตอบค่ะ/ครับ) ใช่ไม่ใช่เรารู้สึกอยู่ในใจ เรารู้สึกว่าเรายังไม่สะใจ รู้สึกว่าเรายังไม่พอใจ แล้วยังใช้วาจานี้ด่าตอบ  ถามว่าสิ่งเหล่านั้นที่เราทำ คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเราเขาโกรธเราหรือไม่โกรธ (โกรธค่ะ/ครับ) โกรธแล้วในใจเขาก็จะต้องสาปแช่งเราอีกมากมายใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดได้
หากวันนี้ศิษย์น้องทุกคนเดินไปหน้าหมายเลข 1 เดินไปต่อยหน้าหมายเลข 1 แล้วบอกว่าขอโทษ ถามว่าหมายเลข 1 ให้อภัยมั้ย (ไม่ให้ค่ะ/ครับ) แล้ววันนี้ศิษย์น้องฆ่าสัตว์มากมาย คิดว่าสัตว์เหล่านั้นให้อภัยเราหรือเปล่า (ไม่ให้ค่ะ/ครับ)  สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่ให้อภัยเราแน่นอน  นี้ก็คือหนี้กรรมใช่มั้ย หนี้บุญคุณ หนี้ชีวิต   หนี้เงินทอง  หนี้แค้น  แค่สิ่งเหล่านี้เราก็ชดใช้ไม่หมดแล้วใช่มั้ย  วันนี้เราลืมตามาดูโลกใบนี้เราอาศัยกายสังขารนี้ดำรงชีวิต  อาศัยกายสังขารเพื่อลบล้างวิบากกรรม  อาศัยกายสังขารนี้เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล แล้ววันนี้ศิษย์น้องทุกๆคนเข้าใจในชีวิตตนเองมากแค่ไหน
หากศิษย์น้องติดเงินเขาห้าบาทแล้วต้องไปเกิดเป็นวัวชดใช้เขาเอาหรือเปล่า (ไม่เอาค่ะ/ครับ)  ติดเงินห้าบาทแต่ต้องเป็นวัวชดใช้เขาห้าชาติ เอาหรือเปล่า (ไม่เอาค่ะ/ครับ) วันนี้ศิษย์น้องมีติดหนี้ใครหรือเปล่า เราอย่าให้เงินทองมาผูกมัดเรา เราอย่าให้เงินทองมาเป็นพระเจ้าของเรา เราอย่าให้เงินทองมาสร้างบาปกรรมให้กับชีวิตเรา  เราอย่าเห็นเพียงแค่เงินห้าบาท สิบบาท ยี่สิบบาท เพียงแค่เศษเงินที่อยู่ในกระเป๋าเรา ไปติดเงินเขา  แล้วเราก็ลืมที่จะชดใช้  เป็นบ่อยครั้งที่ผู้หญิงไปจ่ายตลาด แล้วบอกว่าเดี๋ยวค่อยมาคืนใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) แต่ถามว่าพรุ่งนี้ลืมไม่ลืม  (ลืมค่ะ/ครับ) พรุ่งนี้ก็ลืม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งเล็กน้อยที่มนุษย์นั้นมองข้าม
ตื่นเช้ามาเราต้องกตัญญูต่อพ่อแม่มั้ย ตื่นเช้ามาเราต้องกล่าวคำว่าขอบคุณหรือเปล่า กับพ่อแม่ที่ให้กายสังขารเรา กับการที่พ่อแม่ได้เลี้ยงดูเรา วันนี้ศิษย์น้องทุกๆคนได้กล่าวคำว่าขอบคุณหรือเปล่า
มีเงินมากมาย มีความสุขมากมาย มีความทุกข์มากมาย มนุษย์นั้นรู้ แต่มนุษย์นั้นไม่เข้าใจ มีเงินมากมาย แต่เราก็มิสามารถสร้างความสุขให้กับใครในครอบครัวเราได้ถึงแม้จะมีบ้านหลังใหญ่โต ถึงแม้ว่าจะมีรถขับคันหรู แต่วันนี้เพราะเหตุใดเราจึงไม่มีความสุข เพราะเหตุใดเราจึงซื้อความสุขให้กับเราเองไม่ได้ เป็นเพราะอะไร สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากอะไร วันนี้เราเรียนหนังสือสูง วันนี้เราได้ปริญญาหลายใบ วันนี้เรามีภรรยาที่รัก วันนี้เรามีสามีที่รัก วันนี้เรามีลูกที่น่ารัก แล้วทำไมเราจึงหาความสุขให้กับครอบครัวเราไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะอะไร วันนี้ศิษย์น้องทุกๆคนนั่งกล่าวโทษว่าวิบากกรรม เป็นเวรเป็นกรรม ลูกเกิดมาทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ต้องมานั่งรับใช้ลูก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องชดใช้หรือว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะต้องทดแทน สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากเรา วิบากกรรมมากมาย หนี้เวรกรรมมากมายที่เรานั้นไม่รู้ เพียงแค่ชาตินี้ เพียงแค่เรารู้ เพียงแค่เราจดจำได้ก็เยอะมากมายแล้วใช่ไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ)
หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง แต่มนุษย์ทำสิ่งไม่ดีครบ ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยใช่ไม่ใช่ มีใครซักกี่คนที่สามารถย้อนสำนึกในการกระทำของตัวเองทุกๆขณะ ที่ตัวเองได้กระทำ เพราะอะไรในปัจจุบันนักเรียนจึงมีการทะเลาะวิวาทได้ทุกวัน สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากอะไร สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากครอบครัวเล็กๆ ของเรา ห้าคน สิบคน ใช่ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากครอบครัวเราจึงทำให้เด็กทุกคนมีปัญหา สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากพ่อแม่ ให้ถามตัวเองว่าวันนี้เราเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แล้วหรือยัง วันนี้ได้ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อ ทำหน้าที่ของความเป็นแม่ สมบูรณ์แล้วหรือยัง แล้ววันนี้ลูกๆทุกคนเป็นลูกที่กตัญญูหรือว่าเป็นลูกที่อกตัญญู สิ่งเหล่านี้เราต้องย้อนถามตัวเองบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้เราจะต้องหมั่นมาสำรวจตัวเองทุกๆครั้งที่จะเข้านอน วันนี้เราบำเพ็ญธรรม วันนี้เราศึกษาธรรม วันนี้ศิษย์น้องเข้าใจในธรรม แล้วศิษย์น้องได้ออกไปโปรดญาติพี่น้องของตัวเองแล้วหรือยัง
วันนี้ศิษย์น้องบอกว่าเราเข้าใจในธรรม  ธรรมะนี้ล้ำค่าแต่เราได้ใช้ความกตัญญู ที่มีอยู่ในตัวเราแล้วหรือยัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เคยมองข้ามความกตัญญู ความกตัญญูศิษย์น้องจำต้องมี ไม่ว่าเราจะบำเพ็ญในครอบครัวแบบไหน ในลักษณะแบบไหน เพราะฉะนั้นความกตัญญูจำเป็นต้องมี  วันนี้เคารพในอาจารย์ วันนี้เคารพในอาวุโส แต่คำว่ากตัญญูไม่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ตนหรือ...จำเป็นต้องมี...
อย่าให้เงินทำให้เรานั้นทำความผิดต่างๆมากมาย อย่าให้เงินเป็นพระเจ้าของเรามากจนเกินไป จนทำให้เราติดการพนัน ติดบุหรี่ ติดเหล้า และก็ติดวัตถุมากมายใช่ไม่ใช่ เราให้เงินเป็นพระเจ้า เราให้วัตถุเป็นพระเจ้า เราให้ความโลภของเราเป็นพระเจ้าเราจึงทำความผิดมากมาย ใช่ไม่ใช่  วันนี้เราบอกว่าเราเครียด เครียด เครียด แล้วเราก็ไปกินเหล้า กลับมาสร้างวิบากกรรมภายในครอบครัว  ครอบครัวของเราจะมีความสุขหรือเปล่า  มีหรือไม่มี (ไม่มี ค่ะ/ครับ) ครอบครัวของเราจะไม่มีความสุข สิ่งเหล่านี้ก่อเกิดจากใคร วันนี้อยากให้ศิษย์น้อง ย้อนถามตัวเองว่าเราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้วหรือยัง ...

หันต้าเซียน: กราบสวัสดีปราชญ์เมธีผู้มีรากบุญทุกคน (สวัสดีหันต้าเซียนค่ะ/ครับ) รู้จักเราแล้วหรือยัง เราคือใคร (หันต้าเซียนค่ะ/ครับ) สบายดีกันหรือเปล่า (สบายดีค่ะ/ครับ)  เปิดกายเปิดใจแล้วหรือยัง (เปิดแล้วค่ะ/ครับ) เปิดตาหรือว่าเปิดใจ  (เปิดใจค่ะ/ครับ) หากเราเปิดใจ จิตเราจะต้องเปิด  เมื่อจิตเราเปิด เราก็ต้องกระจ่างในตน เมื่อเรากระจ่างในตนเราก็ต้องกระจ่างในธรรม เปิดใจหรือยัง  (เปิดใจแล้วค่ะ/ครับ) หากเปิดใจเราก็ต้องเปิดจิต เมื่อเราเปิดจิต เราก็กระจ่างในตน เมื่อเรากระจ่างในตน เราก็กระจ่างในธรรม ก่อนอื่นขอถามปราชญ์เมธีว่า เราได้กระจ่างในตนมากน้อยแค่ไหนหากเราสามารถกระจ่างในตนได้ เราก็สามารถที่จะเข้าถึงแก่นธรรมได้ แล้วมาถึงการนี้ปราชญ์เมธีได้เข้าถึงแก่นธรรมแล้วหรือยัง แก่นธรรมคืออะไร แก่นธรรมอยู่ที่ไหน  แก่นธรรมเดิมทีเป็นอย่างไร แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับชีวิตของเรา แล้วเราเป็นมนุษย์เหตุไฉนเราจึงต้องเกี่ยวข้องกับธรรม  สิ่งเหล่านี้เดิมทีเป็นมาอย่างไร เราได้กระจ่างบ้างหรือเปล่า หากเราสามารถที่จะกระจ่างในสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็มิสามารถสร้างกรรมต่อ แต่หากพวกเรายังสามารถที่จะสร้างกรรมต่อไปได้ แสดงว่าเรายังเป็นปราชญ์เมธีที่ยังมืดมน มืดมนด้วยกิเลสตัณหา ปัญญาของเรานั้นยังไม่เปิด หากปัญญาของเราเปิด เราก็จะมิกล้าที่จะสร้างกรรมต่อ ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดมาจากเราเป็นผู้สร้าง ทุกสิ่งอย่างเราเป็นผู้กระทำ แล้วก่อเกิดขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นก่อนกาลของเราจะยุติ เราต้องกระจ่างในตนก่อน
เราถามปราชญ์เมธีว่าสองวันจวนจะจบไปแล้ว เราได้กระจ่างกันมากแค่ไหน เราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรามากแค่ไหน เรากระจ่างในตนบ้างหรือไม่ (กระจ่างค่ะ/ครับ) ธรรมที่เราฟังไปฟื้นฟูจิตเดิมของเราไปบ้างหรือยัง หากฟื้นฟูแล้วเราก็จะรู้จักตัวตนของเรา แต่หากเรายังไม่รู้จักตัวตนของเรา เกรงว่าหลักธรรมที่เราได้ฟังไปทั้งสองวันนี้ จะไม่สามารถซึมซับลงไปในจิตใจของเราบ้างเลย หากเป็นเช่นนี้ สัจธรรมก็จะไม่สามารถฟื้นฟูเราได้ เพราะอะไร... เพราะเรายังไม่กระจ่างในตน ก่อนอื่นปราชญ์เมธีจะต้องกระจ่างในตนก่อนจึงจะสามารถเข้าถึงแก่นธรรมได้ จึงจะสามารถรับรู้ได้ว่า  สัจธรรมนี้มีความเป็นมาเกี่ยวกับชีวิตเราอย่างไร เหตุไฉนเราจึงจำเป็นต้องศึกษาปฏิบัติธรรม เหตุไฉนเราจึงต้องเดินหนทางธรรมนี้ เพราะอะไร  เราได้เข้าใจตนมากแค่ไหนเราได้กระจ่างในตนมากแค่ไหน เราได้ฟื้นฟูจิตญาณเดิมของเราไปบ้างหรือเปล่า กายกับจิตของเราได้สัมพันธ์กันบ้างหรือเปล่า ชีวิตของเราที่ผ่านมาเป็นเช่นไร เหตุไฉนจำต้องเป็นเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้คืออะไร เกิดจากความกระจ่างในตน เกิดจากความกระจ่างในธรรม เป็นเช่นนั้นหรือไร  มนุษย์ที่กระจ่างในตน มนุษย์ที่กระจ่างในธรรมเป็นเช่นไร มนุษย์ที่ไม่กระจ่างในตนเป็นเช่นไร มนุษย์ที่ไม่กระจ่างในธรรมเป็นเช่นไร ปราชญ์เมธีย้อนคิดไตร่ตรองดูว่า ชีวิตของเราที่ผ่านมา เราได้กระจ่างในตนและเราได้กระจ่างในธรรมมากแค่ไหน หากปราชญ์เมธีสามารถกระจ่างในตน และสามารถกระจ่างในธรรมได้ ปราชญ์เมธีก็จะสามารถศึกษาธรรมไปได้ตลอดจนพบแสงแห่งธรรม แต่หากเมธีไม่สามารถที่จะกระจ่างในตน ก็ยากยิ่งนักที่ปราชญ์เมธีจะกลับคืนไป เข้าใจกันบ้างหรือเปล่า เข้าใจหรือไม่เข้าใจ (เข้าใจค่ะ/ครับ) เราเข้าใจมากน้อยแค่ไหน
เป็นเรื่องง่ายเพียงน้อยนิด ปราชญ์เมธีจำต้องกระจ่างในตนก่อน หากเรายังไม่กระจ่างในตน เราก็จะไม่สามารถที่จะช่วยคนได้ เราก็ไม่สามารถที่จะช่วยสังขารนี้ได้ เพราะฉะนั้นเราจำต้องกระจ่างในตน เมื่อเรากระจ่างในตน เราก็สามารถที่จะเข้าใจตัวเองว่าเดิมทีกายสังขารของเรานี้ต้องการอะไร เข้าใจว่าเดิมทีเราเกิดมาในโลกใบนี้ เราต้องการทำอะไร เราต้องรู้จุดประสงค์ของกายและจิตของเราก่อน ว่ากายที่อยู่กับจิตของเรามาจน 20 ปี 30 ปี 40 ปี ต้องการอะไรกันแน่ แล้วจิตที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ยังไม่รู้เดียงสานั้นต้องการอะไรกันแน่  สิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ คือสิ่งที่กายเราต้องการคือสิ่งที่จิตของเราต้องการหรือเปล่า ย้อนคิดดู เมื่อนั้นแล้วเราก็สามารถที่จะให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าเราเข้าใจในตนมากแค่ไหน ให้เราย้อนหวนคิดกลับไปดูว่า กายของเราแรกเริ่มเดิมทีที่เกิดมา ในโลกใบนี้กายตัวนี้ต้องการอะไร พร้อมทั้งจิตที่เคียงคู่กับเรามาจิตที่ไม่สามารถที่จะมองเห็น สัมผัส แต่สามารถรับรู้ได้ด้วยผัสสะ จิตตัวนี้ต้องการอะไร เมื่อ 2 อย่างเราสามารถกระจ่างและเข้าใจได้ เราก็สามารถที่จะเข้าถึงแก่นธรรมได้ ให้ปราชญ์เมธีย้อนหวนคิดกลับไปดูว่า ในชีวิตประจำวันก่อนที่เราจะได้รับวิถีธรรม เราได้รับสิ่งใด เราได้ทำสิ่งใด ก่อนที่เราได้รับวิถีธรรม เราได้สร้างอะไร เราได้ทำสิ่งใด เราได้เอากายของเรานี้ ไปเกลือกกลั้วกับสิ่งใดบ้าง เราได้นำจิตของเรานี้ไปเกลือกกลั้วกับสิ่งใดบ้าง แล้วสัจธรรมเกี่ยวข้องกับกายและจิตของเราอย่างไร
ก่อนอื่นให้ปราชญ์เมธี ใคร่หวนย้อนคิดกลับไปว่า เราได้เอากายของเรานี้ ไปเกลือกกลั้วกับสิ่งใด ให้ตอบกับตัวเอง ตอบกับจิตของตัวเองว่าเวลาที่ผ่านมา มิว่าเราจะมีอายุเท่าไร เราได้นำกายของเรานี้ไปเกลือกกลั้วกับสิ่งใด เมื่อกายของเราไปเกลือกกลั้วกับสิ่งใด เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าจิตของเราก็ต้องไปด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่ค่ะ/ครับ) เราคิดว่าชีวิตของเราที่ผ่านมา กายของเราไปเกลือกกลั้วกับกิเลสตัณหา น้ำโคลนตม หรือว่ากายของเราไปเกลือกกลั้วกับน้ำมนต์ของพระพุทธะ ปราชญ์เมธีโปรดให้คำตอบกับตัวเอง ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้นำกายสังขารนี้ไปเกลือกกลั้วกับสิ่งใด หากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้นำกายสังขารนี้ไปเกลือกกลั้วกับกิเลสตัณหาน้ำโคลนตม ก็ขอให้เรานั้นย้อนคิดดูว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กายของเราต้องการหรือเปล่า จิตของเราต้องการหรือเปล่า แต่หากที่ผ่านมาเราได้นำกายของเรานี้ ไปเกลือกกลั้วอยู่กับน้ำมนต์ของพระพุทธะ ลองคิดดูว่า สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหมือนกันไหม ให้คำตอบกับตัวเอง หากเรานำกายของเราไปเกลือกกลั้วกับน้ำมนต์พระพุทธะ จิตของเราก็จะไปด้วย เมื่อนั้นแล้ววิถีชีวิตของเราก็จะเป็นเช่นไร อดีตเราเป็นเช่นไร ต้องให้คำตอบกับตัวเอง หากเรายังนำกายและจิตของเราไปเกลือกกลั้วกับสรรพสิ่งเหล่านั้น ก็มิสามารถที่จะเข้าใจในจิตของเราได้ใช่หรือมิใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) ให้คำตอบกับตัวเองได้แล้วหรือยัง ว่าเราได้เข้าใจในตนมากแค่ไหน ว่ากายตัวนี้ต้องการสิ่งใด ว่าจิตของเรานี้ต้องการสิ่งใด เราเกิดมาในโลกนี้เพราะอะไร เหตุไฉนเราต้องมีกรรม เหตุไฉนเราจำต้องศึกษาปฏิบัติธรรม สิ่งเหล่านี้มันคืออะไร ทำไมเราจึงมัวสับสนกับตนเอง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราไม่เคย ไม่เคยอะไร ไม่เคยเปิดโอกาสให้กับตัวเอง สร้างบุญสร้างกุศลอย่างนิจนิรันดร์ เราสร้างบุญกุศลเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่บุญกุศลที่เราได้สร้างไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า บุญกุศลที่สร้างไปเป็นบุญกุศลที่บริสุทธิ์หรือเปล่าและสะอาดหรือเปล่า ให้คำตอบกับตัวเองว่า เราเป็นเช่นไร
เหตุไฉนเราจึงต้องมีกรรม แล้วเหตุไฉน เราจำต้องศึกษาธรรม ปราชญ์เมธีเอ๋ย ค้นหาคำตอบเจอแล้วหรือยัง เราสามารถที่จะค้นหาคำตอบให้กับตัวของเราเองแล้วหรือยัง กระจ่างได้แล้วหรือยัง หลักสัจธรรมนั้นเป็นธรรมที่ล้ำค่า เป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ ยากที่เราจะสามารถศึกษาและกระจ่างได้ในเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก่อนที่เราจะกระจ่างในธรรมที่ล้ำค่า ก่อนที่เราจะกระจ่างในธรรมที่ยิ่งใหญ่ ก่อนที่เราจะกระจ่างในธรรมที่สูงส่ง ความคิดของเรา ภายในภายนอกของเราจำต้องสะอาด จำต้องสูงส่ง เราศึกษาธรรมที่เป็นธรรมชาติที่กว้างใหญ่ ที่เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เป็นชาวโลกนั้นต้องการ ก่อนอื่นเราต้องกระทำตัวของเราให้ดีก่อน ให้เป็นสิ่งที่ชาวโลกนั้นต้องการ เมื่อถึงกาลนั้นแล้ว เราก็สามารถที่จะสอดคล้อง และสามารถเข้าถึงแก่นธรรมได้ แก่นธรรมนั้นลึกซึ้ง เราหลงเวียนว่ายตายเกิดมานานแสนนาน
ปัญญาของเราเดิมทีนั้นมีอยู่ แต่ปัญญาของเรานั้นถูกบดบังด้วยกิเลส อวิชชา เมื่อถึงกาลนี้แล้ว เราจำเป็นต้องศึกษาบำเพ็ญปฏิบัติธรรม เพื่อค้นหาปัญญาของเรานั้นให้เจอ เมื่อเรียกให้ปัญญาของเรานั้นคืนกลับมาได้ เราจะมีความรู้ต่างๆนานามากมาย แต่หากเราไร้ซึ่งปัญญาก็เสียทีที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าสัตว์ประเสริฐที่มีอาการครบสามสิบสองประการ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่เรียกว่าสัตว์ประเสริฐ จำต้องมีปัญญากระจ่างในตน เข้าใจในตน พร้อมฉุดช่วยสรรพสัตว์คืนสู่แดนนิพพาน มิใช่เข้าใจในผู้อื่นพาตนเวียนว่าย ทำลายสรรพสัตว์ แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจในตนเอง เรายังไม่เข้าถึงแก่นธรรม ก่อนที่ปราชญ์เมธีจะเข้าถึงแก่นธรรมได้ จำไว้ให้มั่นว่าปราชญ์เมธีจำต้องเข้าใจในตนเองก่อน ประวัติสิ่งศักดิ์สิทธิ์จบลงแค่นี้หรือไร เราได้เปิดโอกาสที่จะไปศึกษาค้นหาหรือไม่ มีแค่นี้ อาวุโสให้มาแค่นี้ เราก็ทำแค่นี้ แล้วเพิ่มเติมเราเคยได้ไปศึกษากันบ้างหรือเปล่า ภูมิปัญญาธรรมของเราจบอยู่เพียงแค่นี้หรือไร เปิดโอกาสให้ไปศึกษาแล้วจะมาอีก  (หันต้าเซียนเมตตาให้บุคลากรกลับไปศึกษาประวัติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพิ่มเติม)
หันเสี่ยวเซียนถง: ท่านหันต้าเซียนเมตตาให้แจกลูกอม ให้ศิษย์น้องตั้งใจร้องเพลง (ทุกคนร่วมกันร้อง “เพลงเปิดใจรับธรรม”)

หันต้าเซียน: อย่าลืมเปิดโอกาสให้กับตัวเองเพื่อที่จะเข้าใจในจิตตน ยังมีบทธรรมอีกมากมาย วันนี้เป็นวันที่สอง แต่ยังมีอีกหนึ่งวัน เราจะชนะใจของเราได้หรือไม่ เราจะกระจ่างในธรรมมากแค่ไหน อาวุโสมากมาย นักบรรยายมากมาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายได้เปิดทางเมตตาเรา แต่หากปราชญ์เมธีไม่เมตตาตัวเอง ไม่เปิดโอกาสให้กับจิตของตัวเอง ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงศรคอยชี้นำทาง แต่มิสามารถที่จะปฏิบัติและกระทำแทนเราได้ ต้องเข้าใจในตัวเองและปฏิบัติธรรมเอง













  












ประชุมชั้นวิริยะญาณ  ณ พุทธสถานจวี้เสียน (เมธาชุมนุม)
อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พุทธศักราช 2553

สวัสดี                                      สวัสดี                                      สวัสดี 
      สิ่งดีดี                                            สิ่งดีดี                                      ต้องศึกษา
                  พร้อมค้นหา                                 พร้อมค้นหา                           เปิดปัญญา
                  ธรรมศึกษา                                   คอยชี้ทาง                                สว่างเอย

                                                            เราทั้งสองคือ

ฮวานฮวานสี่สี่ผู้น่ารักน่ารัก                                       น้อมรับพระราชเสาวนีย์  จาก
องค์อนุตตรธรรมมารดา                                                        สู่แดนโลกา แฝงกายคารวะ  
องค์ธรรมมารดา                                                                    ถามน้องพี่สราญดีฤา

เปิดโอกาส                              เปิดโอกาส                              ให้กับตน
                   ได้ฝึกฝน                                      สิ่งดีดี                                      สิ่งดีดี
                   ธรรมสูงส่ง                                  ธรรมสูงส่ง                             ธรรมะดี
                   ธรรมคอยชี้                                  ทางสว่าง                                 ทางสว่าง
                   ธรรมคอยเปลี่ยน                         ชะตา                                       ผันชีวิต
                   ธรรมลิขิต                                                ผันชะตา                                  ชีวิตได้
                   เตือนศิษย์น้อง                             เตือนศิษย์น้อง                                    ต้องเข้าใจ
                   อีกต้องไข                                                อีกต้องไข                               คลายปมนี้
                   ต้องศึกษา                                     ต้องศึกษา                                ให้เข้าใจ
                   เพื่อละลาย                                   สิ่งไม่ดี                                    ให้หมดสิ้น
                   ละอัตตา                                       ตัดมลทิน 1                              ตัดมลทิน
                   ตัดให้สิ้น                                     หมดไป                                   จิตสะอาด
                   ปลูกต้นบุญ                                  ปลูกต้นบุญ                             ให้กับตน
สร้างกุศล                                     สร้างกุศล                                จิตสว่าง

 
                   ด้วยการสร้าง                               ทานสามทาง                           ทานสามทาง
                   สามมิห่าง                                                สามมิห่าง                               สี่ละเว้น 2
                   แรงศรัทธา                                   แรงศรัทธา                              สะเทือนฟ้า
                   จิตแห่งฟ้า                                                กว้างใหญ่                               แล้วกว้างใหญ่
                   จะมีใคร                                       กี่คนหนอ                                สัมผัสได้
                   ฟ้ากว้างใหญ่                                ฟ้ากว้างใหญ่                           เคียงข้างเรา
                   เราทอดทิ้ง                                    จิตแห่งฟ้า                               ไปไหนแล้ว
                   จักคลาดแคล้ว                              จากเภทภัย                               ฟ้าช่วยดล
จำให้มั่น                                      สร้างกุศล                                สร้างกุศล
                   มีกุศล                                           เท่านั้น                                     ที่สำคัญ       
                   ต้องคิดดี                                       พูดดี                                        และทำดี
                   ดวงแก้วนี้                                                ได้รับไป                                 นั้นศักดิ์สิทธิ์
                   อยู่ในจิต                                       เดิมแท้                                     อยู่ในจิต
                   เพียงจิตคิด                                   สะเทือน                                  ทั่วสามภพ
                   สิ่งล้ำค่า                                        วิเศษ                                        อยู่ในตน
                   ใช้กุศล                                         จิตศรัทธา                                คอยนำทาง
                   ฟ้ามิห่าง                                       จากมนุษย์                               ฟ้ามิห่าง
ต้องละวาง                                   พันธะ 3                                   สื่อถึงได้
                   จิตสะอาด                                     จิตสะอาด                                มารเกรงกลัว
                   ญาณสลัว                                     มารเคียงข้าง                           จิตเดิมแท้
                   ต้องเชื่อมั่น                                  ศรัทธา                                                และแน่วแน่
                   ต้องมิแพ้                                      ใจตน                                      บรรลุได้
                   เดินสายกลาง                               มัชฌิมา                                   เดินเรื่อยไป
                   หากตึงไป                                                อันตราย                                  แค่ชั่วคราว
หากยามใด                                   ท้อแท้                                      ธรรมข้างเรา
กลับบ้านเรา                                 แดนฟ้าเดิม                             ฟ้ารออยู่

                                                                        กราบลา

    องค์มารดาผู้เมตตา                                                             ขอน้องพี่เข้าใจในธรรมเยอะเยอะ

 
อธิบายความหมายคำศัพท์
1. มลทิน                                =          ความมัวหมอง, ความไม่บริสุทธิ์
2. สี่ละเว้น                             =          1) ไร้จริยาไม่มอง
                                                            2) ไร้จริยาไม่พูด
                                                            3) ไร้จริยาไม่ฟัง
                                                            4) ไร้จริยาไม่ทำ
3. พันธะ                     =    ข้อผูกมัด


พระโอวาทฮวานฮวาน และ สี่สี่เซียนถงเมตตา

สี่สี่เซียนถง: เข้าใจหรือเปล่า อาจารย์ผู้นำสายเมตตาแล้วเราเข้าใจมั้ย แล้วเราต้องบอกว่าอะไร (เข้าใจค่ะ/ครับ) (เซี่ยเซี่ยสวีหลิงต่าวเตี่ยนฉวนซือฉือเปย) สิ่งเหล่านี้คือมารยาทใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) ที่บ้านต้องมีมารยาทรึเปล่า (มีค่ะ/ครับ) แล้วเราอยู่สถานธรรมต้องมีมารยาทรึเปล่า (ต้องมีค่ะ/ครับ) แล้วอยู่ที่โรงเรียนต้องมีมารยาทหรือเปล่า (มีค่ะ/ครับ) แล้วที่สำนักงานเราต้องมีมารยาทหรือเปล่า (มีค่ะ/ครับ) มีใช่มั้ย อืม... สิ่งเหล่านี้ที่อยู่รอบกายเราต้องมีมารยาทใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) เมื่อศิษย์น้องมีมารยาทแล้วศิษย์น้องนำมาใช้ทุกเวลารึเปล่า (ใช่ค่ะ/ครับ)

ฮวานฮวานเซียนถง: พร้อมมั้ย (พร้อมค่ะ/ครับ) เราชื่ออะไร
สี่สี่เซียนถง: เดี๋ยวเขาบอกว่าต้องมีมารยาท
ฮวานฮวานเซียนถง: เราชื่ออะไร (ศิษย์พี่ฮวานฮวานค่ะ/ครับ) ขอ 2 คน 2 คนจำได้หรือเปล่า จำได้หรือเปล่า (พิธีกร: ศิษย์พี่ฮวานฮวาน สี่สี่เมตตาให้ทำ เป๊ปซี่ ซู่ซ่า ซาสี่ เข้าใจธรรมมา หลุดพ้น คืนแดน)
ฮวานฮวานเซียนถง: ธรรมชาติสอนให้เราน่ารักเบิกบานไม่ใช่เศร้าๆ และก็ให้เป็นคนดี ถ้าจำไม่ได้จะต้องทำยังไงดี ถ้าจำไม่ได้เราจะทำยังไงดี ถ้าจำไม่ได้เดี๋ยวเราจะกราบลา (กลับ) เตรียมรับเตรียมรับ (พิธีกรและบุคลากรช่วยกันทำท่า เป๊ปซี่ ซู่ซ่า ซาสี่ เข้าใจธรรมมา หลุดพ้น คืนแดน ให้นักเรียนในชั้นทำพร้อมกัน)
            คืนแดนต้องดีใจสุดๆ ตาของเราต้องเป็นประกาย (ศิษย์พี่เมตตาทำท่าให้เป็นตัวอย่างพร้อมๆกับทุกคนในชั้น)
            เมื่อวานท่านต้าเซียนบอกว่าเราต้องเข้าใจอะไรก่อน (เข้าใจในตน กระจ่างในธรรม) เข้าใจในตน จึงกระจ่างในธรรมแล้วพวกเราเข้าใจในตนแล้วกระจ่างในธรรมแล้วใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) ฮวานฮวานว่าตอนนี้มีคนเข้าชั้นเยอะๆ แต่พอผ่านไป 2 อาทิตย์ ก็เหลือแค่นิดๆ ผ่านไปอีกก็เหลือติ๊ดๆ ผ่านไปอีกก็เหลือตุ๊ดๆ ผ่านไปอีกก็หายไปเลย เพราะเรายังไม่เป๊ปซี่ ยังไม่ซู่ซ่า ยังไม่ซาสี่ ยังไม่เข้าใจธรรมมา ยังไม่หลุดพ้น แล้วยังไม่คืนแดน  เราก็เลยหายไปเลยไปแดนอื่นเลยใช่มั้ย
สี่สี่เซียนถง: แล้วมนุษย์ก็ไปที่ชอบที่ชอบ  มนุษย์ไม่ชอบฟังธรรม
ฮวานฮวานเซียนถง: มนุษย์ชอบฟังเรื่องไร้สาระ  แล้วมนุษย์ชอบดูในสิ่งที่ไม่ดี  แล้วมนุษย์ก็ชอบๆๆฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตบยุง
สี่สี่เซียนถง: เพราะว่ามนุษย์คิดว่ายุงตัวเล็กฆ่าแล้วไม่บาป
ฮวานฮวานเซียนถง: ใช่ไม่บาปนิดเดียว  ใช่ไม่บาปนิดเดียวๆๆ  แต่บาปใหญ่กว่าตัวของมนุษย์อีก
สี่สี่เซียนถง: ฮืม ตบทีละตัวไม่มันต้องเอาเครื่องใช้ไฟฟ้ามาอะไรนะ(มาช็อต) เขาเรียกว่าช็อตเหรอ ยิ่งเสียงดังยิ่งชอบๆ
ฮวานฮวานเซียนถง: แล้วเราก็ชอบพูด พูดให้คนนี้ร้องไห้ พูดให้คนนี้เสียใจ พูดให้คนนี้หลุดจากตะแกรงฟ้า  พูดให้คนนี้คนนี้เสียใจร้องให้ พูดๆๆ  คนนี้ก็มีปมมีปมมีอคติกับตนนี้พอ  อคติไปอคติมาไม่ชอบขี้หน้าพอได้ยินเสียงก็ไม่อยากฟังเสร็จแล้วก็โกรธเสียใจๆ  แล้วก็อภัยไม่ได้ทำไมถึงให้อภัยไม่ได้เพราะว่ามันยิ่งหนาเยอะๆๆ  ยิ่งเยอะๆเลย จะให้มาคลายปมออก  ก็ยังคลายปมไม่ได้เพราะมันเยอะสะสมมาหลายปี  ยังฟังจำแม่นว่าวันนั้นวันที่  12  มกราคม  2553 คนชื่อ นายเขียว ดำแวว  ด่าฉันที่นี่ๆๆเจ้าพ่อเจ้าขาชาตินี้ลูกช้างจะไม่ให้อภัยเลยพ่อแม่ยังไม่เคยด่า เราก็จำๆๆ  แล้วมันก็พาให้เรานั้นเวียนว่ายเวียนว่าย  เพราะว่าจิตเรายังไม่สะอาด  ยังมีหินก้อนโตๆอยู่ในน้ำก้อนหินก้อนโตอยู่ในน้ำที่แข็งๆ กัดก็ฟันแตก กลืนก็ไม่ได้ต้องผ่าท้อง ก้อนหินนั้นละลายยาก ยากๆๆ  แต่เรามาบำเพ็ญธรรมเราก็จะต้องละลายมันให้เยอะๆ ให้ได้ใช่เปล่า (ใช่ค่ะ/ครับ) แล้วศิษย์น้องจะทำได้หรือเปล่า (ทำได้ค่ะ/ครับ) เขาพูดว่าเขาทำได้แต่ใจจริง เขาทำไม่ได้  ศิษย์พี่สอนมาว่าศิษย์น้องของศิษย์พี่ดื้อ  ฮวานฮวานสี่สี่ ต้องทำใจเยอะๆ ก็เลยทำใจเยอะๆเยอะที่สุด เพราะว่าศิษย์พี่บอกว่ามนุษย์ดื้อ  มนุษย์ใจร้าย  มนุษย์ต้องฟังธรรมเยอะๆแต่มนุษย์ฟังไปก็ไม่เข้าหัว ไม่เข้าใจในจิต เพราะว่าจิตใจของมนุษย์เหมือนก้อนหิน  ก้อนหินที่ปาคนอื่นแล้วหัวแตก ไปเย็บที่โรงพยาบาล  แล้วก็เป็นแผล  ศิษย์พี่บอกว่ามนุษย์เป็นแบบนี้ต้องฟังเยอะๆ 3 วันก็ไม่เข้าใจเยอะๆ ต้องฟังตลอดชีวิตนะ
สี่สี่เซียนถง: ไหวเหรอ
ฮวานฮวานเซียนถง: ไหวๆ เยอะๆ ทำไมจะไม่ไหว เพราะธรรมมันอยู่กับตัวเราอยู่แล้วตลอดชีวิต แต่ศิษย์พี่ฝากบอกว่าห้ามกินเนื้อสัตว์ก่อนแล้วจะเข้าใจธรรมเยอะ แล้วถ้าศิษย์น้องยังกินเนื้อสัตว์ก็จะไม่เข้าใจธรรมเยอะ เพราะว่าสัตว์มันบอกว่าอย่าเข้าใจอย่าเข้าใจ  ชาติหน้าเกิดมาข้าจะกินแก จะกินๆๆ  แล้วไม่กินแบบธรรมดานะจะตัดคอก่อนแล้วก็วางไว้แล้วก็มากิน
สี่สี่เซียนถง: รู้ได้อย่างไรเคยกินเหรอ
ฮวานฮวานเซียนถง: ฮวานฮวานก็คิดๆไปเองไม่เคยทำเพราะว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ดีไม่ทำ ถ้ารู้ว่าไม่ดีแล้วยังทำบาปเยอะๆ
สี่สี่เซียนถง: แล้วศิษย์น้องในห้องนี้เชื่อหรือเปล่า
ฮวานฮวานเซียนถง: เชื่อ 1% อีก 99% อยู่ที่พวกเขา เชื่อแล้ว 1% ฮวานฮวาน ก็ดีใจแล้วเขาชอบกินมาตั้งแต่เด็กไม่เป็นไรปล่อยเขาไปเถอะ เราต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วเราก็จะเจอสิ่งที่ดีๆถ้าเราไม่เปลี่ยนตัวเองเราก็จะไม่เจอสิ่งที่ดีๆ ศิษย์น้องอยากเจอสิ่งดีๆ แต่ศิษย์น้องไม่ทำสิ่งดีๆ ศิษย์น้องก็ไม่เจอสิ่งดีๆ ก่อนศิษย์น้องจะเจอสิ่งดีๆ ศิษย์น้องต้องทำสิ่งดีๆก่อนใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) ใช่อย่างพร้อมเพรียงตบมือหน่อย มาตั้งนานแล้วบทหนึ่งก็ยังไม่เริ่ม บทสองก็ยังไม่เริ่ม บทสามก็ยังไม่มา เราต้องรักตัวเองให้ได้ถ้าเรารักตัวเองเราก็ไม่กล้าทำบาป หลายๆคนบอกว่าฟังธรรมพอแล้ว แต่ยังไม่พอที่จะหยุดสร้างเวรกรรมจากสามวันนี้เขาจะหายไปเลย เขาพูดไม่เพราะ มารขึ้นมาบอกข้างหู ฮวาน ฮวานเลย เขามาบอกเสียงดังมากๆเลย เขาพูดแบบนี้ไม่เพราะในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
            เหนื่อยแล้ว เหนื่อยกับเรื่องไร้สาระแล้ว ต้องทำเรื่องที่ดีเยอะๆแล้ว ศิษย์น้องต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ต้องเข้าใจตัวเอง ต้าเซียนบอกว่าเราต้องเข้าใจอะไร เราต้องเข้าใจ ว่ากายเราต้องการอะไร ใจเราต้องการอะไร ให้เราเข้าใจสองอย่างนี้เราก็จะเข้าใจๆๆๆ  ลุงๆ ป้าๆ พี่ๆ ต้องเข้าใจ ฮวานฮวานกับสี่สี่ พูดไม่เก่งแต่ทุกคนต้องเข้าใจนะ ถ้าเราเข้าใจในตัวเองเราก็จะเข้าใจในธรรม เมื่อเราเข้าใจในธรรม เราก็จะไม่ลืมธรรม เกินเวลาของทุกคนมาเยอะแล้ว เวลานั้นมีค่าเราต้องถนอมเวลา โอกาสของตัวเองที่เรายังมีลมหายใจ  ถ้าเรายังไร้สาระอยู่เราก็เสียใจภายหลังไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรามีลมหายใจและก็มีกายสังขาร เราก็จะตั้งใจทำความดีและก็สร้างบุญกุศล ให้มีแรงศรัทธาแล้วเราก็จะเป็นคนที่ไม่ห่างธรรม ต้องเข้าใจตัวเอง สร้างกุศลแล้วก็มีแรงศรัทธาไม่ใช่ให้เรามัวช้าอยู่นะเข้าใจมั้ย (เข้าใจค่ะ/ครับ) ดูแลตัวเองดีๆนะดูแลตัวเองให้เยอะๆจะได้อยู่กับธรรมไปนานๆ


ประชุมชั้นวิริยะญาณ  ณ พุทธสถานจวี้เสียน (เมธาชุมนุม)
อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พุทธศักราช 2553

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา


เชิญศิษย์รักทั้งหมดนั่งลง  3 วันใกล้จะจบลงแล้วใจของเรารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง  (ดีค่ะ/ครับ)  ดี ดียังไง  ใจดีหรือว่าใจทุกข์ แล้วดีขึ้นรู้สึกว่าใจมีกำลังขึ้นหรือไม่ (มีค่ะ/ครับ)  ฟังธรรม 3 วันอาจารย์บอกแล้วว่าขอเพียงศิษย์ปล่อยวาง เมื่อศิษย์ปล่อยวางสัจธรรม รสพระธรรมที่ศิษย์ฟังไปสามารถที่จะคลายปัญหาเหล่านั้นได้ใช่มั้ย  (ใช่ค่ะ/ครับ)  ยังจำกันได้อยู่หรือเปล่าอาจารย์บอกว่าปัญหามากมายในชีวิตของเราเรื่องราวต่างๆมากมายในชีวิตของเราที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายไปได้หากเรารู้จักที่จะปล่อยวาง แล้วเปิดใจมารับฟังหลักสัจธรรม สัจธรรมที่เราได้รับฟังไปสามารถที่จะคลี่คลายปัญหาต่างๆนานา เรื่องราวต่างๆนานา ที่เราได้พบเจอมาจะสามารถคลี่คลายได้ด้วยรสพระธรรม มาถึงกาลนี้แล้วรสพระธรรมที่ศิษย์ที่รับฟังไปสามารถที่จะนำไปคลายปัญหาได้บ้างหรือเปล่า  (ได้ค่ะ/ครับ)  ได้หรือไม่ได้  (ได้ค่ะ/ครับ)  รู้จักวิธีใช้แล้วหรือยัง ธรรมะจะใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์ ธรรมะเป็นยังไง คืออะไร เกี่ยวดองกับเรายังไง  ศิษย์รักของข้าให้คำตอบกับตัวเองได้หรือยัง แล้วต่อจากนี้ไปศิษย์รักจำเป็นต้องศึกษาปฏิบัติต่อไปหรือไม่ ตอนนี้ศิษย์รักให้คำตอบกับตัวเองได้หรือยัง ศิษย์ได้ค้นหาตัวเองเจอแล้วหรือยัง จึงจะนำหลักสัจธรรมที่ศิษย์ที่ได้รับฟังไปนี้ ไปทำอย่างไรต่อชีวิต ไปทำอย่างไรต่อสิ่งที่ศิษย์ได้พบเจอ  ศิษย์เอ๋ยไขความกระจ่างให้กับชีวิตตน ได้แล้วหรือยัง ไขความกระจ่างให้กับกายสังขารของตนได้แล้วหรือยัง ว่ากายสังขารของเรานั้นเดิมทีต้องการอย่างไร ว่าจิตใจของเราจิตญาณของเรานั้นเดิมทีต้องการอย่างไร วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอบรมธรรมเทศน์มหาชาติ คำตอบเหล่านี้ศิษย์ได้ให้คำตอบกับตัวเองแล้วหรือยัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายอาวุโสมากมาย อาจารย์ถ่ายทอดธรรมมากมาย นักบรรยายมากมาย เหล่าบุคลากรมากมาย ได้แนะนำวิธีอะไรกับเราไปแล้วบ้าง แล้วสิ่งต่างๆที่ผู้หวังดีได้อบรมสั่งสอนมาให้กับเราศิษย์รักเก็บเกี่ยวไปบ้างแล้วเท่าไหร่ แล้วศิษย์ได้นำไปใช้บ้างแล้วเท่าไหร่  ให้คำตอบกับตัวเอง  ย้อนคิดดูว่าหลังจากจบสามวันนี้ไปแล้ว ศิษย์จะดำเนินวิถีชีวิตของตนอย่างไร ศิษย์จะทำกับใจของตนอย่างไร ศิษย์จะทำกับกายสังขารของตนอย่างไร  ศิษย์จะดูแลจิตหนึ่งจิตเดียวของศิษย์นี้อย่างไร  ศิษย์จำต้องให้คำตอบกับตัวเอง  และศิษย์จำต้องหาคำตอบกับตนให้เจอ  หนทางธรรมนี้ยังมีอีกยาวไกล  มิใช่แค่เพียงวันสองวัน  ไม่ใช่เพียงแค่สามวันนี้  ไม่ใช่เพียงแค่รับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์  จะสามารถทำให้เราหลุดพ้นจากการเวียนว่าย  เพราะหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์ แค่เรามีรากบุญที่ถึงพร้อมก็สามารถรับได้  แต่หากเราได้รับสิ่งที่ล้ำค่าไปแล้ว ไร้ซึ่งการปฏิบัติ ไร้ซึ่งความศรัทธา ไร้ ไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่าง  ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้เพชรอันล้ำค่าแล้ว  จำต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ ก่อเกิดประโยชน์ขึ้นมาให้ได้ หาหนทางชีวิตวิถีของตนให้เจอ  ค้นหาความกระจ่างให้กับตนเองให้ได้  แล้วเดินหนทางธรรมนี้ต่อไป  จนบรรลุถึงเป้าหมาย ดีหรือไม่ดี  (ดีค่ะ/ครับ)  บุคลากรของข้า พร้อมที่จะทำงานฟ้าแล้วหรือยัง (พร้อมค่ะ/ครับ)  บุคลากรของข้า กายและใจพร้อมที่จะรวมกันเป็นหนึ่งหรือยัง  (พร้อมค่ะ/ครับ)  และบุคลากรของข้าได้ทำสิ่งใดบกพร่องแล้วบ้างหรือยัง  สามวันนี้ที่ผ่านมาศิษย์รักข้า  ได้ทำงานฟ้า ได้ทำงานการปกโปรดสามภพ  ได้ทำงานเทศน์มหาชาติ ณ สถานที่แห่งนี้ สมบูรณ์แล้วหรือยัง  บุคลากรของข้าได้ใช้ใจฟ้าทำงานมั้ย  (ใช้ค่ะ/ครับ)  แล้วใจฟ้าเป็นเช่นไร ใครสามารถให้คำตอบกับอาจารย์ได้  อะไรเรียกว่าใจฟ้า  ใจฟ้าเป็นเช่นไร  ใจฟ้าคืออะไร  เดิมทีใจฟ้าเป็นเช่นไร ใครสามารถที่จะให้คำตอบกับอาจารย์ได้  (ใจบริสุทธิ์ครับ)  ใจฟ้าคือใจที่บริสุทธิ์  เมื่อใจที่บริสุทธิ์ หากเปรียบไปแล้ว เปรียบเสมือนน้ำใสใช่หรือไม่  ใจบริสุทธิ์เปรียบเสมือนน้ำใส  เปรียบเสมือนทารกใช่หรือเปล่า  (ใช่ค่ะ/ครับ)  เด็กทารกมีอารมณ์โกรธหรือเปล่า  (ไม่มีค่ะ/ครับ)  มีอารมณ์ที่โมโหหรือเปล่า  (ไม่มีค่ะ/ครับ)  เด็กทารกมีอารมณ์เช่นไร  มีความสดใสร่าเริงใช่มั้ย  (ใช่ค่ะ/ครับ)  แล้วเราได้นำความสดใสร่าเริงมาตรวจทานต่อหน้าที่ของตนหรือเปล่า  ให้คำตอบกับอาจารย์ได้มั้ย  เราใช้ใจอะไรมาทำงานฟ้า  ใจฟ้า ใจฟ้าคือใจบริสุทธิ์  ใจบริสุทธิ์เปรียบได้ดั่งจิตทารก  คือจิตที่สดใสเบิกบานใช่หรือเปล่า  (ใช่ค่ะ/ครับ)  และบุคลากรได้นำจิตที่สดใสเบิกบานมาทำงานฟ้ามั้ย  ใช้หรือไม่ใช้  ใช้แต่ไม่สามารถใช้ได้ตลอดใช่มั้ย  (ใช่ค่ะ/ครับ)  บางครั้งเราต้องใช้ใจผู้ใหญ่ใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) เอาล่ะเราบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จุดมุ่ง หมายสิ่งเดียวของเราก็คือเราจำต้องใช้ผู้ใหญ่ใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) เอาล่ะ เราบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม จุดมุ่งหมายสูงสุดของเราก็คือสามารถแปรผันจิตมลทินให้เป็นจิตบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์เปรียบดั่งจิตทารก เพราะฉะนั้นการทำงานฟ้า รับภาระการโปรดสามภพ สิ่งต่างๆนานา เรื่องราวต่างๆนานา ไม่ว่าเราจะพบเจอสิ่งใด เกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อนั้นแล้วเราจำต้องมีสติ เพื่อที่จะไขปัญหา เพื่อที่จะก้าวเดินในการทำงานธรรม หากเรามีสติเราก็จะมีจิตที่บริสุทธิ์ หากเรามีจิตที่บริสุทธิ์เราก็จะมีจิตที่สื่อตรงถึงฟ้าได้ จิตของเราก็จะเป็นจิตที่เบิกบานและสดใสใช่หรือไม่ใช่ (ใช่ค่ะ/ครับ) จิตที่เบิกบานและสดใส ไม่ว่าเราจะบำเพ็ญมานานเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะเป็นอาวุโส ไม่ว่าเราจะเป็นผู้น้อย ผู้เยาว์วัย สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่เราจะต้องมีคือจิตบริสุทธิ์ ใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) การบำเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้น เพื่อขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดี นั่นก็คือจิตบริสุทธิ์ใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ) แล้วตอนนี้เราได้ใช้จิตบริสุทธิ์มาทำงานภายในสามวันหรือเปล่า (ใช้ค่ะ/ครับ) ตอบด้วยความสัตย์จริงมั้ย (จริงค่ะ/ครับ) ทำไมเสียงจึงเป็นแบบนี้ ใช้ก็ใช้ ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร ใช้บ้างไม่ใช้บ้างก็ไม่เป็นไร อาจารย์ขอเพียงให้ศิษย์นั้นกล้ายอมรับความจริงจากใจศิษย์เท่านั้นเอง อาจารย์ไม่กล้าตำหนิศิษย์ อาจารย์ไม่กล้าต่อว่าศิษย์ เพราะอะไร ศิษย์คือมือซ้ายมือขวาของอาจารย์ ศิษย์คือเท้าซ้ายเท้าขวาของอาจารย์ และเหตุไฉนข้าจะกล้าตำหนิพวกเจ้าล่ะ ลูกเอ๋ย...อาจารย์เพียงแค่ถามว่าเราได้ใช้จิตที่บริสุทธิ์มาทำงานหรือเปล่า ให้คำตอบกับตัวเอง หน้าที่ของเรา เราได้รับผิดชอบอย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง ตั้งแต่หน้าประตูสถานธรรมจนเข้ามาสู่ถึงในห้องประชุมนี้เป็นเช่นไร การต้อนรับ ดูแลนักเรียนใหม่ แขกวีไอพีของข้าเป็นอย่างดีหรือเปล่า วาจาเป็นเช่นไร การกระทำเป็นเช่นไร เราคือผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาว นอก – ในต้องสะอาด นอก – ในต้องสำรวม เพราะฉะนั้นเราคือแบบอย่างใช่มั้ย (ใช่ค่ะ/ครับ)
ศิษย์ทำงานได้ดีมาก (พระอาจารย์เมตตาปรบมือให้) เปิดโอกาสให้กับตัวเองได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับตัวเอง เพื่อที่จะเดินหนทางธรรมนี้ต่อไป ตลอดไป ดีหรือไม่ดี (ดีค่ะ/ครับ) ร้องเพลง (ทุกคนร่วมกันร้อง “เพลงธรรมที่คอยชี้ทาง”)
เปิดโอกาสให้กับตัวเอง เข้าใจกายตัวนี้ เข้าใจหนึ่งจิตของตัวเอง หนทางธรรมยังมีอีกยาวไกล ประชุมธรรมชั้นเทศน์มหาชาติอันยิ่งใหญ่ ที่สะเทือนทั่วสามภพภูมิ หน้าที่เหล่านี้จวนจะจบลงแล้ว เราได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดไปบ้าง ให้คำตอบกับตัวเอง อย่าเพิ่งปิดกั้นตัวเอง เรายังไม่กระจ่างมากนัก จำต้องศึกษาให้มากกว่านี้ อย่าลืมค้นหาตัวเองให้เจอ หากศิษย์รักสามารถค้นหาตัวเองให้เจอ ศิษย์ก็ไม่กล้าที่จะหลุดออกจากงานธรรม เส้นทางสายธรรมนี้ยังมีเวไนยรอเราอีกมากมาย หากเราหนึ่งคนนี้สามารถที่จะเข้าใจในตนเองได้ ก็จะสามารถฉุดช่วยเวไนยที่ยังลุ่มหลงได้อีกมากมาย ให้เข้าใจในตนนอกเหนือจากที่เราเข้าใจ ก่อนอื่นศิษย์ข้าจำต้องเข้าใจตัวเองก่อน หากศิษย์ข้าเข้าใจตัวเอง ศิษย์ก็จะสามารถดำเนินบนหนทางธรรมนี้ตลอดได้ จำไว้ว่า จำต้องปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ แล้วปัญหาก็จะสามารถคลี่คลายได้ด้วยรสพระธรรมนี้ ดูแลตัวเองให้ดีดี เส้นทางธรรมคือเส้นทางที่สว่างที่สุดแล้ว หากเราอยู่ในโลกมืด จำต้องมีแสงเทียนเพียงหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นแสงสว่าง ดูแลตัวเอง